เศรษฐกิจขาลง ซื้อ SSF กับ RMF จะดีหรือไม่

1 Min Read

ในช่วงที่ปัญหาเศรษฐกิจรุมเร้าหลายด้านทั้งโควิด-19 ภัยแล้ง ภาพลักษณ์การบริหารจัดการบริหารและแก้ไขปัญหาของประเทศนั้น ส่งผลให้ดัชนีแตะระดับ 1,000 นิดๆ อยู่ระยะหนึ่ง ทุกครั้งที่ดัชนีหุ้นไทยปรับลดลงต่อเนื่องจะได้ยินประโยคนี้เสมอ เพราะโดยหลักการลงทุนที่ดี นักลงทุนควร “ซื้อในช่วงต้นทุนที่ต่ำ” แต่ในทางปฏิบัติหรือกว่าจะตัดสินใจมักได้ “ซื้อของแพง”

การลงทุน SSF และ RMF ด้วยวิธีทยอยลงทุนเป็นวิธีที่น่าสนใจ เพราะผู้ที่เสียภาษีจะรู้ว่าปีนั้นๆ ตัวเองต้องจ่ายภาษีเท่าไหร่ จึงรู้ว่าควรลงทุน SSF และ RMF เท่าไหร่ ก็สามารถจัดสรรเงินออมมาลงทุนได้ หากรอลงทุนตอนสิ้นปีครั้งเดียวก็อาจต้องใช้เงินลงทุนก้อนใหญ่พอสมควร SSF และ RMF นอกจากได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีแล้ว สิ่งสำคัญ คือ เป็นการลงทุนเพื่อสะสมเงินเตรียมไว้ใช้หลังเกษียณ ดังนั้น ควรลงทุนให้ได้ต่อเนื่องแบบ DCA ยิ่งในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยได้ปรับฐานลงมามาก หากลงทุนในช่วงนี้จะทำให้ได้ต้นทุนที่ต่ำ

ถ้ารับความเสี่ยงได้สูงๆ ก็เน้นลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงสูง เช่น หุ้น ถ้ารับความเสี่ยงได้ต่ำๆ ก็เน้นลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ เช่น ตราสารหนี้ วิธีการเบื้องต้นให้ศึกษานโยบายการลงทุนแต่ละกองทุน ที่สำคัญควรกระจายความเสี่ยงให้เหมาะสม โดยเฉพาะผู้ที่เริ่มต้นวางแผนการลงทุน ซึ่งวิธีการดูก็มีหลากหลาย เช่น ดูการลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงเลี้ยงชีพว่าตัวเองเลือกนโยบายการลงทุนแบบไหน หากเน้นตราสารหนี้ ก็สามารถกระจายความเสี่ยงด้วยการซื้อ SSF ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้น ส่วน RMF ก็เน้นลงทุนในหุ้นต่างประเทศ ตราสารหนี้ต่างประเทศ เป็นต้น

การลงทุนเราจะให้น้ำหนักไปทาง SSF หรือ RMF นั้นเราต้องศึกษาตัวเองก่อนว่า มีความพร้อมมากน้อยแค่ไหน เป็นเงินเย็นหรือไม่ เพราะ SSF และ RMF คือการลงทุนแล้วถือยาว ถ้ารับความเสี่ยงได้สูงๆ ก็เน้นลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงสูง เช่น หุ้น ถ้ารับความเสี่ยงได้ต่ำๆ ก็เน้นลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ เช่น ตราสารหนี้ วิธีการเบื้องต้นให้ศึกษานโยบายการลงทุนแต่ละกองทุน ที่สำคัญควรกระจายความเสี่ยงให้เหมาะสม โดยเฉพาะผู้ที่เริ่มต้นวางแผนการลงทุน ซึ่งวิธีการดูก็มีหลากหลาย เช่น ดูการลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงเลี้ยงชีพว่าตัวเองเลือกนโยบายการลงทุนแบบไหน หากเน้นตราสารหนี้ ก็สามารถกระจายความเสี่ยงด้วยการซื้อ SSF ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้น ส่วน RMF ก็เน้นลงทุนในหุ้นต่างประเทศ ตราสารหนี้ต่างประเทศ เป็นต้น

การลงทุนระยะยาว จะไม่ได้คาดหวังผลกำไรในระยะสั้น สิ้นปีหรือปีถัดไป แต่จะมองไปถึงระยะ 5 ปี 10 ปี ข้างหน้าเลยทีเดียวถ้าใช้ปัจจัยเรื่องดัชนีหุ้นไทยที่ปรับลดลงจากผลกระทบของเชื้อไวรัส COVID-19 ถือว่าเป็น “ราคาที่ไม่แพง” ดังนั้น หากรับความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นได้ มีระยะเวลาการลงทุนค่อนข้างนาน “วันนี้ เป็นจังหวะที่ดีในการลงทุน” จากสถิติที่ผ่านมา พบว่าหากลงทุนได้ในระยะยาว เช่น 10 ปีขึ้นไป ก็มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดี และเป็นการสร้างวินัยการลงทุนอีกด้วย ยิ่งลงทุนต่อเนื่องด้วยวิธี DCA เมื่อถึงวันนั้นก็จะมีเงินสะสมก้อนที่ใหญ่และเพียงพอให้ใช้หลังเกษียณ ดังนั้น ถ้าไม่ลงทุนตอนนี้ ก็ไม่รู้จะไปลงทุนตอนไหน

ผู้เชี่ยวชาญการเงินการลงทุน ซ่าอินไทย
Author: ผู้เชี่ยวชาญการเงินการลงทุน ซ่าอินไทย

ติดตามข่าวสารการเงินการลงทุนทุกรูปแบบได้ที่นี่

Share this Article
ติดตามข่าวสารการเงินการลงทุนทุกรูปแบบได้ที่นี่