วิธีการลงทุนตามวงจรวัฎจักรทางเศรษฐกิจ

1 Min Read

วงจรวัฎจักรของเศรษฐกิจ ส่งผลต่อกิจกรรมอย่างมากในทางเศรษฐกิจรวมถึงการลงทุน หากนักลงทุนรู้ว่า ณ ปัจจุบันอยู่ในช่วงในวัฏจักรเศรษฐกิจก็จะสามารถเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่เหมาะกับภาวะเศรษฐกิจนั้นๆได้ ซึ่งจะช่วยสร้างผลตอบแทนโดยรวมที่ดี และมีโอกาสประสบความสำเร็จในการลงทุนในที่สุด และสิ่งที่จะบ่งบอกได้ก็คือ ตัวเลขเศรษฐกิจ ซึ่งตัวเลขเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศมีตั้งมากมายกว่าร้อยตัวเลข แถมแต่ละตัวเลขยังมีการประกาศผ่านสื่อต่างๆ แทบทุกวัน บางวันตัวเลขเศรษฐกิจออกมาดี หุ้นก็ขึ้น พอวันถัดมาตัวเลขเศรษฐกิจไม่ดี หุ้นก็ลง นักลงทุนมือใหม่ควรตามอย่างน้อย 2 ตัวเลขก็พอ ซึ่งเป็นตัวเลขที่จะทำให้ เห็นภาพเศรษฐกิจปัจจุบันว่าอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลง แถมยังสามารถกำหนดทิศทางการลงทุน ในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ได้ด้วย

การขยายตัวของเศรษฐกิจ หรือตัวเลขการขยายตัวของจีดีพี (Gross Domestic Product : GDP) เป็นตัวเลขที่แทบจะนำตัวเลขเศรษฐกิจทุกตัวมาสะท้อนรวมกัน ไม่ว่าจะเป็นการบริโภค การลงทุน การใช้จ่ายภาครัฐ การส่งออก และการ นำเข้า

อัตราเงินเฟ้อ (Inflation) เป็นดัชนีชี้วัดราคาสินค้าทั้งอุปโภคและบริโภคว่าปรับเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยมากน้อยเพียงใด เช่น เงินเฟ้ออยู่ที่ 3% ก็หมายถึง ราคาสินค้าแพงขึ้นเฉลี่ย 3% ซึ่งกรอบเงินเฟ้อของประเทศไทยอยู่ระหว่าง 0 – 3.5%

โดยปกติตัวเลขทั้ง 2 ตัวนี้มักจะไปด้วยกัน พูดง่ายๆ คือ เงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หากเศรษฐกิจมีการขยายตัว เงินเฟ้อก็จะปรับตัวเพิ่มขึ้นและหากเศรษฐกิจหดตัว เงินเฟ้อก็ปรับลดลงตามวัฎจักรเศรษฐกิจภาวะเศรษฐกิจที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลานั้น ทำให้การเลือกลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ มีความแตกต่างกันไปด้วย โดยภาวะเศรษฐกิจออกเป็น 4 ระยะ

1. ระยะฟื้นตัว (Recovery) เป็นช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว หลังจากเผชิญภาวะตกต่ำถึงขีดสุด เงินเฟ้อยังอยู่ยังในระดับต่ำ สินค้าที่เหลือค้างสต็อกค่อยๆ ทยอยขายออก ราคาสินค้าเริ่มมีแนวโน้มสูงขึ้น ผลประกอบการของธุรกิจดีขึ้น การผลิตเพิ่มขึ้น การจ้างงานสูงขึ้น ประชาชนมีรายได้ดีขึ้น สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อกระตุ้นให้ผู้ประกอบการลงทุน ทิศทางการลงทุนมีแนวโน้มดีขึ้น ช่วงเวลานี้เหมาะกับการลงทุนใน “หุ้น” มากที่สุด เพราะหุ้นจะได้ผลบวกโดยตรงจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ และเศรษฐกิจที่ขยายตัว ในขณะที่ตราสารหนี้และเงินฝากจะได้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่า

2. ระยะเฟื่องฟู (Peak) เป็นช่วงที่เศรษฐกิจผ่านช่วงฟื้นตัว และก้าวเข้าสู่ช่วงขยายตัว เงินเฟ้อเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นตามเศรษฐกิจที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น แต่เศรษฐกิจยังคงขยายตัวได้มากกว่าเงินเฟ้อ การผลิตขยายตัวสูง การจ้างงานเพิ่มสูงขึ้น ประชาชนมีรายได้สูงขึ้น จับจ่ายใช้สอยมากขึ้น เป็นระยะที่ซื้อง่ายขายคล่อง ราคาสินค้าและบริการมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นจนอาจก่อให้เกิดเงินเฟ้อ ช่วงเวลานี้เหมาะกับการลงทุนใน “ทองคำ” มากที่สุด เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าในตัวเองและป้องกันเงินเฟ้อได้ดี แต่ไม่ใช่ว่าหุ้นไม่น่าสนใจ เพียงแต่การปรับขึ้นของราคาหุ้นในช่วงนี้จะเต็มไปด้วยความผันผวน การกำหนดกลยุทธ์ลงทุนจึงทำได้ยาก

3. ระยะถดถอย (Recession) เป็นช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มชะลอการขยายตัว หลังจากเจริญรุ่งเรืองอย่างเต็มที่ เงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง ต้นทุนการผลิตโดยรวมสูงขึ้น ผลประกอบการของธุรกิจต่ำลง การผลิตและการจ้างงานลดลงประชาชนมีรายได้ลดลง GDP Growth ติดลบต่อเนื่องกันอย่างน้อย 2 ไตรมาส (QoQ) หาก GDP Growth ลดลง แต่ไม่ถึงกับติดลบ ก็จะเป็นแค่ภาวะ ชะลอตัวของเศรษฐกิจ ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่ไม่ควรลงทุนในหุ้นมากที่สุด เพราะกำไรของบริษัทจะลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงอย่างหนัก ส่วน “ตราสารหนี้” ก็ไม่น่าสนใจ เพราะดอกเบี้ยมีแนวโน้มจะขยับ สูงขึ้นตามเงินเฟ้อ “เงินฝาก” จึงเป็นทางเลือกที่ดีสุด เพราะ นักลงทุนจะได้รับดอกเบี้ยสูงขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยที่ขยับเพิ่มขึ้น

4. ระยะตกต่ำ (Trough) เป็นช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มเข้าสู่ภาวะ หดตัวอย่างเต็มตัว เงินเฟ้อเริ่มปรับตัวลดลง สินค้าเหลือค้างสต็อก เป็นจำนวนมาก ผู้ประกอบการลดการผลิต ลดการจ้างงาน ประชาชนไม่ค่อยมีกำลังซื้อ เพราะรายได้ลดลงมาก ธนาคารแห่งประเทศไทยจะลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ GDP Growth หดตัว จนทำจุดต่ำสุดใหม่และมีอัตราการว่างงานสูงสุด ช่วงเวลานี้หุ้นยังให้ผลตอบแทนที่ไม่ดีนัก “ตราสารหนี้” ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำและได้รับ ผลประโยชน์จากภาวะดอกเบี้ยขาลง มีความน่าสนใจมากกว่า

ผู้เชี่ยวชาญการเงินการลงทุน ซ่าอินไทย
Author: ผู้เชี่ยวชาญการเงินการลงทุน ซ่าอินไทย

ติดตามข่าวสารการเงินการลงทุนทุกรูปแบบได้ที่นี่

Share this Article
ติดตามข่าวสารการเงินการลงทุนทุกรูปแบบได้ที่นี่